Archive for April, 2010

TRIP TO SHANGHAI, CHINA – DAY 4

Posted: April 8, 2010 in Travel

เที่ยวเมืองจีน – วันที่สี่

             วันที่สี่ของการเดินทางเริ่มต้นด้วยสูตรเดิมคือ 6-7-8 หลังจากอาหารเช้าที่โรงแรมแล้วก็ออกเดินทางไปยังตึก SWFC (Shanghai World Financial Center) ซึ่งถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกตึกหนึ่งในปัจจุบัน มีทั้งหมด 101 ชั้น ที่ความสูง 492 เมตร แต่ทว่าวันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ เพราะตามโปรแกรมนั้นจะต้องขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของมหานครเซี่ยงไฮ้ที่ชั้น 94 ของตึกดังกล่าว ซึ่งก็ต้องเสียค่าขึ้นไปชมนะครับ ไม่ได้ให้ขึ้นไปชมฟรีๆ แต่ขึ้นไปแล้วมองออกไปไม่เห็นอะไรเลย เพราะฝนตก แต่ละคนก็เซ็งในอารมณ์ไปตามๆ กัน ก็ได้แต่ถ่ายภาพกันเล่นภายในอาคารเท่านั้นเอง

             ลงจากตึก SWFC แล้วก็มุ่งหน้าไปยังโปรแกรมที่รัฐบาลจีนบังคับอีก 1 รายการ คือไปดูการสาธิตสินค้าประเภทบัวหิมะที่มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลไฟลวก น้ำร้อนลวก และน้ำมันงูที่ใช้รักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามคาดครับ เพราะเข้าไปถึงก็ถูกต้อนเข้าห้องสาธิต หลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่กันเรียบร้อยก็จะมีพิธีการอาหมวยที่พูดไทยได้ดีพอสมควร บอกว่าจะมีนักเรียนนวดมาจากมณฑลเสฉวนเข้ามาฝึกงาน เนื่องจากเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ประสบภัยภิบัติแผ่นดินไหว รัฐบาลจีนจึงอยากให้พวกเขามีอาชีพ ต่อจากนั้นก็จะมีอาหมวยอาตี๋ยกถังใส่น้ำที่ผสมยาจีนเข้ามาให้ทุกคนได้แช่เท้า เพื่อทำการนวดเท้าให้หายเมื่อย ในขณะที่อาตี๋อาหมวยกำลังนวดเท้าอยู่นั้น พิธีกรก็บอกว่า ต่อไปจะมีศาสดาจารย์ และนายแพทย์แผนจีนเข้ามาทำการจับชีพจร หรือที่เขาเรียกว่า "แมะ" ให้ทุกคนที่สนใจฟรี การแมะของหมอจีนก็คือการตรวจดูว่าแต่ละคนมีโรคประจำตัวหรือมีอะไรผิดปกติในร่างกายของเรา เช่นตับ ไต ทำงานเป็นปกติดีมั๊ย ซึ่งหมอแต่ละคนที่เข้ามาก็จะมีอาหมวยที่พูดไทยได้มาคอยเป็นล่ามให้ แต่ผมไม่ได้ให้หมอแมะจับหรอกครับ ผมบอกว่าเพิ่งเคยโดนจับมาที่ปักกิ่ง ฮ่าๆๆ แต่ความจริงขี้เกียจฟังมากกว่า เพราะรู้อยู่ว่าเขาจะพูดอะไรบ้าง และก็ตามคาด ทุกคนจะถูกทักว่าตอนนี้ ตับไม่ดี ไตไม่ดี หรืออะไรไม่ดีอย่างน้อย 1- 2 อย่าง ต้องทานยาจีนที่หมอจะแนะนำให้ และยาจีนที่หมอแนะนำนี่เท่าที่ฟังคร่าวๆ อย่างต่ำชุดละ 3,000 หยวน หรือประมาณ 15,000 บาท แต่ต้องทานติดต่อกันอย่างน้อย 3 ชุดถึงจะเห็นผลนะ ก็ลองคำนวนดูละกันว่าจะเป็นเงินเท่าไหร่ และที่นี่รับทั้งบัตรเครดิต เงินเหรียญอเมริกัน และเงินบาทไทยด้วย เท่าที่สังเกตดูวันนั้นก็มีคนซื้อบ้างพอสมควรนะครับ และมีอยู่คนหนึ่ง เขาก็อยากลองซื้อไปทานดูสัก 1 ชุด แต่พอรูดบัตรกลับโดนไป 9,000 หยวน หรือประมาณ 45,000 บาท โอ้แม่เจ้า… ดีนะที่เจ้าของบัตรดูตัวตัวเลขก่อนที่จะเซ็นในสลิป ไม่งั้นเรียบร้อยโรงเรียนจีนจริงๆ ก็โวยวายกันไป กว่าเขาจะยอมทำรายการยกเลิกให้ก็เกือบวางมวยไทยกับมวยจีนซะแล้ว นี่แหละครับคือกลยุทธ์ในการขายยาจีนในร้านขายบัวหิมะ อ้อลืมเล่าอีก 1 อย่างก็คือ อาตี๋อาหมวยที่เข้ามานวดเท้าให้ ทางพิธีกรพูดย้ำหลายครั้งว่าห้ามให้ทิป เพราะอาตี๋อาหมวยที่มานั้นเป็นหมอนวดฝึกหัด เขาจะต้องตั้งใจฝึกเพื่อออกไปประกอบอาชีพต่อไป หากพวกเราให้ทิป เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าทำให้พวกเขาไม่ตั้งใจฝึก (พิธีกรเขาว่าอย่างนั้น) แต่เขาบอกต่อไปว่า อาตี๋อาหมวยเหล่านี้จะได้คะแนนจากการขายน้ำมันงูและแผ่นกอเอี๊ยะ ถ้าจำไม่ผิดเขาบอกว่า ถ้าใครที่อาตี๋อาหมวยนวดเท้าให้แล้วช่วยซื้อน้ำมันงู 1 ขวด อาตี๋หรืออาหมวยคนนั้นก็จะได้ 1 คะแนน อะไรประมาณนั้น และถ้าจำไม่ผิด น้ำมันงูขวดขนาด 50 ซีซี เขาขายที่ราคา 160 หยวน ก็อีกนั่นแหละครับ ผมก็เห็นอาตี๋อาหมวยนวดไปก็ทำหน้าตาอ้อนไป แล้วคนไทยก็รู้ๆ อยู่ว่าเป็นคนขี้สงสารอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่หลายคนต้องขวักกระเป๋าซื้อกันคนละขวด ไม่รู้ว่าให้ทิปดีหรือว่าให้คะแนนตามที่เขาว่าดี ฮ่าๆๆๆ

    

             เสร็จจากโปรแกรมที่รัฐบาลจีนบังคับแล้ว ก็ไปรับประทานอาหารกลางวันในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ ต่อจากนั้นช่วงบ่าย ก็เป็นโปรแกรมที่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือไปยังตลาดหลงหัว หรือตลาดที่ขายเฉพาะสินค้าก็อปปี้แห่งใหม่ของเซี่ยงไฮ้ ที่หลายคนบอกว่า "ระวังของแท้" เพราะในนั้นจะมีแต่สินค้าลอกเลียนแบบหลากหลายให้เลือกซื้อหากันอย่างสนุกสนาน มีทั้งนาฬิกา กระเป๋า โทรศัพท์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิกส์ และอื่นๆ อีกมากมาย ผมก็ลงไปเดินดูเพราะอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง แล้วหน้าตาของก็อปปี้ที่ร่ำลือมันเหมือนของแท้ขนาดไหน และคุณภาพมันคุ้มราคาหรือเปล่า พอเดินไปได้ไม่ร้าน เจ้าของร้านก็เดินเข้ามาทักเป็นภาษาไทย แล้วก็ดูที่นาฬิกาข้อมือที่ผมใส่อยู่ สะกิดบอกว่าให้เข้าไปดูข้างใน แล้วเขาก็หยิบเอานาฬิการุ่นเดียว ยีห้อเดียวกับที่ผมใส่มาให้ดู โอ้แม่เจ้า… ทำได้เหมือนมากครับ ถ้าไม่เคยเห็นของแท้มาก่อน ก็ไม่สามารถ บอกได้ว่านี่คือของก็อปปี้ จะมีไม่เหมือนอยู่แค่ตัวหนังสือบนหน้าปัด และลักษณะการเดินของเข็มวินาทีเท่านั้น ของแท้จะเดินเรียบ แต่ของก็อปปี้จะเดินแบบกระตุกครั้งละ 3 วินาที แล้วกระตุกแรง เสียงดัง สนนราคาที่เขาบอกผมกับเพื่อนครั้งแรกคือเรือนละ 350 หยวน เพื่อนผมก็อยากลองซื้อไปใส่สักเรือน เผื่อใส่ออกงานเฉพาะตอนกลางคืน ไม่มีเหงื่อทำให้สายลอกก็น่าจะได้หลายครั้ง ก็ต่อราคากันอยู่พักหนึ่ง ปรากฎว่าเพื่อนผมซื้อมาได้ที่ราคา 160 หยวน ก็ประมาณ 800 บาท ถามผมว่าแพงมั๊ยราคานี้ ผมก็บอกได้ว่า ไม่แพงหรอกถ้ามันเดินได้ปกติ ไม่หยุดเดินซะก่อนออกจากเมืองจีน เพราะหลายคนที่เคยซื้อไป ก็มีหลายยี่ห้อราคาแค่เรือนละ 10 หยวน แต่มันเดินได้แค่ 10 ชั่วโมง ก็หลับสนิท ที่ผมบอกว่าไม่แพง เพราะรุ่นนั้นของแท้มันตกเรือนละ 150,000 บาท นี่ซื้อแค่ 800 บาท ใส่ 4 – 5 ครั้งก็คุ้มแล้ว ถ้ามันยังพอใช้ดูเวลาได้ หลังจากแวะให้นักช็อปได้ช็อปปิ้งกันอย่างหนำใจแล้ว ก็เย็นพอดีจึงได้เวลาอาหารค่ำอีกแล้ว

             ในระหว่างอาหารค่ำ แต่ละคนก็เอาของที่ตัวเองภูมิอกภูมิใจว่าซื้อได้มาราคาถูก เช่น ซื้อ Iphone มาได้ราคา 350 หยวนจากราคา 750 หยวน หรือกระเป๋า เสื้อผ้า แต่ก็ทำให้หลายคนเจ็บช้ำใจเมื่อมีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ซื้อนาฬิกามา 4 เรือน เพื่อจะเอาไปฝากญาติๆ ซื้อมาได้ราคาเรือนละ 80 หยวนจากราคาที่คนขายบอกครั้งแรก 250 หยวน แต่หลังจากกลับมาถึงร้านอาหารแล้ว เอาเงินทอนที่คนขายทอนให้มาจำนวน 680 หยวนมาดู เพราะตอนซื้อให้แบงก์ 1,000 หยวนไป ก็ปรากฏว่า เป็นแบงก์ปลอมซะ 600 หยวน เหอๆๆๆ นั่นหมายความว่า นาฬิกา 4 เรือนนั้นก็มีราคาเท่ากับ 920 หยวน หรือเรือนละ 230 หยวน เท่านั้นแหละครับ หลายคนก็เอาตังค์ออกมาดู และดูเหมือนจะโดนแบบเดียวกันไปหลายรายอยู่ นี่แหละครับความเป็นมาของตลาดหลงหัวในวันนั้น ก็อยากจะบอกว่า ถ้าใครที่อยากหาซื้อของก็อปปี้ที่ตลาดนี้ ต้องระวังนะครับ ไปต่อราคาเขามากๆ แล้วดีใจจนลืมตัว ลืมดูว่าเขาทอนเงินปลอมมาให้ สุดท้ายอาจจะกลายเป็นซื้อของแพงก็เป็นได้

             หลังจากอาหารมื้อค่ำแล้วก็กลับโรงแรมที่พักคือโรงแรมเดิมที่ Majesty Plaza Hotel บนถนนนานจิง (Nanjing Road) ผมก็ถือโอกาสออกมาเดินชมบรรยากาศของถนนคนเดินที่เลื่องชื่อของมหานครเซี่ยงไฮ้ เพราะถนนสายนี้ก็คล้ายๆ ถนนนาธานของฮ่องกง ที่มีสินค้าแบรนด์เนมให้เลือกซื้อหาได้หลากหลาย จึงไม่แปลกที่จะเห็นทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองเองออกมาเดินกันเต็มถนนไปหมด และที่ถนนแห่งนี้ก็ทำให้ผมได้สัมผัสกับความจริงกับตัวเองอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ สาวจีนหรืออาหมวยที่ทุกคนเรียก จะมาเดินเล่นกันเป็นคู่บ้าง เป็นกลุ่มบ้าง ล้วนแล้วแต่เป็นวัยรุ่นหน้าตาดี บางคนก็สะพายเป้ บางคนก็สะพายกระเป๋า ไม่ได้เดินเล่นเฉยๆ นะครับ ถ้าพวกเธอเห็นนักท่องเที่ยวที่เป็นผู้ชายเดินคนเดียว หรือเดินกันเป็นกลุ่มโดยไม่มีผู้หญิงเดินมาด้วยละก้อ พวกเธอก็จะส่งยิ้มให้ ถ้าเรายิ้มตอบ พวกเธอก็จะพากันเดินเข้ามาคุยด้วยทันที พอดีคืนนั้นผมเดินอยู่กับเพื่อนอีก 3 คน คนหนึ่งพูดภาษาจีนกลางได้ แต่ผมไม่รู้เรื่องหรอกครับ แต่จำได้คำหนึ่งคือ "มาสซาสจิ" ซึ่งผมก็เข้าใจว่าต้องมาจากภาษาอังกฤษ Massage แน่ๆ จึงถามเพื่อนไปด้วยกันว่า เขามาชวนไปอย่างว่าใช่หรือเปล่า เพื่อนก็บอกว่าไม่ผิด ฮ่าๆๆ และเท่าที่สอบถามกันดู สนนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 300 – 400 หยวนสำหรับกิจกรรมจ้ำจี้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง ถ้าพาพวกเธอไปยังห้องพักของเรา แต่พอเห็นพวกผมไม่สนใจ พวกเธอก็ไปคุยกับกลุ่มอื่นต่อ แต่คิดว่าอย่างน้อยในแต่ละคืนที่พวกเธอมาเดินหาลูกค้าบนถนนนานจิง ก็น่าจะได้ลูกค้าอารมณ์เปลี่ยวบ้างละครับ แต่พวกเธอก็ใช่ว่ามีแค่กลุ่มเดียวนะ ขนาดผมกับเพื่อนลงไปเดินแค่ไม่ถึงชั่วโมง ยังเจอพวกเธอเข้ามาถามอย่างน้อย 5 ชุด นั่นแสดงว่า นอกจากสินค้าแบรนด์เนมตามร้านแล้ว ก็ยังมีสินค้าแบรนด์เนมที่เคลื่อนที่ได้อยู่บนถนนสายนี้อีกมากมายทีเดียว

    

วันแรกของการเดินทาง
วันที่สองของกาเดินทาง
วันที่สามของการเดินทาง