Archive for April, 2011

กลับสู่ธรรมชาติ – หลังจากผ่านไปแล้ว 2 ปี

          จำได้ว่าเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 เป็นวันที่เริ่มขุดบ่อแล้วนำดินขึ้นมาถมที่เพื่อทำสวน แถมยังได้บ่อเอาไว้เก็บน้ำเพื่อใช้รดน้ำต้นไม้อีกด้วย หลังจากขุดบ่อปรับพื้นที่เสร็จสรรพ ก็เริ่มลงมือปลูกต้นไม้ประมาณปลายเดือนเมษายนในปีเดียวกัน นับถึงวันนี้เป็นเวลา 2 ปีเต็มๆ ซึ่งจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพสวนที่ได้ลงทุนลงแรงไปในทิศทางที่ต้องการ จากที่ดินเปล่าๆ ที่เพิ่งถมเสร็จประมาณ 7 ไร่ในตอนนั้น มาถึงตอนนี้เริ่มมีต้นไม้ปกคลุมดูเขียวสบายตาขึ้น ต้นไม้บางชนิดเริ่มผลิดอกออกผลให้ได้ชื่นใจกันบ้างแล้ว

  

          กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ผ่านร้อนผ่านฝนมาไม่น้อย ตั้งแต่ขุดบ่อเสร็จฝนก็ทิ้งช่วงเป็นเวลากว่า 4 เดือนเต็มๆ ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวมากๆ แถมบางวันยังมีลมกรรโชกแรง จึงเป็นสาเหตุให้ต้นไม้ที่ปลูกใหม่ๆ ทนอากาศที่แห้งแล้งไม่ไหวเหี่ยวเฉาตายไปหลายสิบต้น อากาศที่ว่าร้อนนั้น ร้อนขนาดต้นกล้วยที่ว่าทนต่ออากาศร้อนแล้วยังเหี่ยวตายไปหลายต้น เพราะน้ำที่อยู่ในลำต้นของต้นกล้วยนั้นคงร้อนเหมือนน้ำต้มจนทำให้แกนกลางของต้นกล้วยแทบสุก

  

          หลังจากปีแรกที่ร้อนหฤโหดผ่านไป ต้นไม้ที่รอดจากภัยแล้งมาได้ รวมทั้งต้นที่ปลูกใหม่ทดแทนต้นที่ตายไป ก็ทำท่าว่าจะเจริญเติบโตได้ดี ไม่ว่าจะเป็นไม้ผลหรือไม้ดอกยืนต้น แต่แล้วเหมือนธรรมชาติกลั่นแกล้ง เพราะตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2553 เป็นเวลา 3 เดือนเต็มๆ มีฝนตกลงมาเกือบทุกวัน น้ำฝนที่ขังอยู่ตามโคนต้นไม้ ไม่มีโอกาสได้แห้ง ถึงแม้ว่าภายในบริเวณสวนจะไม่ได้ถูกน้ำท่วมขัง แต่ดินก็อิ่มและชุ่มไปด้วยน้ำ จึงเป็นสาเหตุให้ไม้ผลหรือไม้ยืนต้นบางชนิดที่รากยังไม่แข็งแรงพอ ต้องล้มตายไปอีกหลายสิบต้น เพราะรากเน่า ขนาดบางต้นสูงท่วมหัวแล้วก็ยังไม่รอด มองเห็นต้นไม้ตายไปทีละต้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฝนตกไม่ยอมหยุด ตอนนั้นเริ่มท้อเหมือนกัน

  

          หลังจากฝนหยุดตก สิ่งที่ต้องทำคือรีบฟื้นฟูสภาพต้นไม้ที่รอดมาได้ด้วยการใส่ปุ๋ยคอก แล้วต้องหาต้นไม้ใหม่มาปลูกทดแทนต้นที่ตายไปอีก ต้นไม้ที่รอดจากภัยแล้งมาได้แต่มาเจอน้ำฝนที่ตกมากเกินไปแล้วตายในที่สุด เท่ากับว่าเสียเวลาปลูกไปฟรีๆ 1 ปีทีเดียว แต่ก็ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมากว่า ต้นไม้ชนิดใดบ้างทนต่อสภาวะอากาศได้ดี และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งร้อนจัด ลมแรง และน้ำท่วม จึงทำให้รู้ว่า กล้วยเป็นพืชที่มีประโยชน์มากๆ ทั้งช่วยป้องกันลมที่จะพัดต้นไม้ล้มหรือกิ่งก้านหัก และยังเป็นร่มเงาช่วยไม่ให้ต้นไม้โดนแดดที่ร้อนจัดเผาใบจนไหม้เกรียม นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ได้เริ่มปลูกกล้วยสลับระหว่างต้นไม้ยืนต้นทุกช่อง จนทำให้ดูร่มรื่น ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็ไม่เหี่ยวเฉาเหมือนปีแรกที่ไม่มีร่มเงาของต้นกล้วยบังไว้ กล้วยที่ปลูกไว้กว่า 300 ต้น มีทั้งกล้วยน้ำว้า กล้วยหอมและกล้วยไข่ ใช้เวลาปลูกแค่ 4 เดือนก็ทยอยออกผล และสามารถตัดไปขายได้วันละ 2 – 5 เครือ แล้วถึงตอนนี้ แต่ละต้นออกหน่อไม่ต่ำกว่าต้นละ 10 หน่อ จากเมื่อปลายปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ ลองคิดเล่นๆ ก็จะเห็นว่า กล้วยแต่ละต้นที่ปลูกเพื่อใช้บังแดดบังลมนั้นกลับกลายมาสร้างรายได้ให้พอสมควรทีเดียว เรียกว่า กว่าต้นไม้ที่ตั้งใจปลูกไว้จะโตเต็มที่จนให้ผลผลิตได้นั้น กล้วยอาจช่วยทำรายได้ให้ไม่น้อยทีเดียว

  

          นอกจากที่ที่มีอยู่เดิมแล้ว 8 ไร่ ขุดบ่อไปแล้ว 1 ไร่ เหลือพื้นที่ทำสวนจริงๆ 7 ไร่ มาต้นปีนี้บังเอิญเจ้าของที่ที่อยู่ติดกันเขาอยากขายที่ที่มีอยู่อีกเกือบ 3 ไร่ ก็เลยตัดสินใจซื้อเอาไว้ กะว่าปีนี้จะขุดบ่อเพิ่มอีกในส่วนที่ซื้อเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ได้น้ำมากขึ้น และเมื่อต้นไม้เริ่มโตสัก 3 – 5 ปี ก็จะลงมือปลูกบ้านพักกลางสวนแทนกระท่อมชั่วคราวที่เห็นอยู่ตอนนี้ เผื่อมีญาติหรือเพื่อนพ้องอยากไปนอนพักท่ามกลางสวนที่ร่มรื่นก็จะได้สะดวกมากขึ้น บ้านพักที่ว่าคงจะเป็นบ้านที่อยู่กลางน้ำซึ่งเป็นบ่อที่จะขุดขึ้นมาใหม่ แล้วจะมีสะพานเดินวกไปวนมาไปกลางน้ำ เพื่อให้อาหารปลาอีกด้วย บรรยากาศอาจจะใกล้เคียงกับรีสอร์ท แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่ภาพในจินตนาการ

          โดยรวมแล้ว 2 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นสภาพสวนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกพอใจมาก ทำให้ความฝันที่จะมีสวนที่ร่มรื่น มีบ้านพักกลางน้ำโอบล้อมไปด้วยสวนไม้ผลไม้ดอกนานาพรรณก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว อนาคตอาจจะทำเป็นโฮมสเตย์สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติแบบเก็บผลไม้ จับปลา และเก็บผักมาทำอาหารเองแบบสดๆ วันนี้ขออัพเดตเรื่องราวของสวนไว้แค่นี้ก่อน แล้วจะมาเล่าอีกครั้งเมื่อครบ 3 ปี หวังว่าคงจะมีคนรอติดตามดูความคืบหน้าต่อไปนะครับ

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
Back To The Nature
Back To The Nature – Continued
Back To The Nature – After One Year Passed
Back To The Nature – One And A Half Year Later