เที่ยวเสียมเรียบ, กัมพูชา – วันที่สอง

          กว่าจะมีเวลามาเล่าต่อจากวันแรกก็เกือบลืมไปเหมือนกันว่าเล่าถึงไหนแล้ว ใครที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่วันแรกคงยังพอจำได้นะครับ งั้นมาต่อกันเลยดีกว่า วันที่สองของการมาเที่ยวกัมพูชาเริ่มด้วยการไปทำบัตรผ่านประตูเพื่อเข้าชมปราสาทต่างๆ ในจังหวัดเสียมเรียบ เป็นบัตรสำหรับ One Day Pass ราคา US$20 (ประมาณ 600 บาทไทย) ถ้าจำไม่ผิด สถานที่ทำบัตรดังกล่าวน่าจะอยู่ที่ทางเข้านครธม (Angkor Thom) การทำบัตรก็เพียงเอาหน้าของเราไปยืนหน้ากล้องของเขาแล้วเขาก็จะพิมพ์บัตรพร้อมมีรูปของเราติดอยู่เรียบร้อยตามภาพที่เห็นนั่นแหละครับ

          เมื่อได้บัตรเรียบร้อยก็เดินทางไปยังปราสาทบันทายศรี (Banteay Srei) หรือชาวกัมพูชาจะออกเสียงว่า “บันเตียเสร่ย” ซึ่งแปลว่า ป้อมสตรีหรือปราสาทสตรี ปราสาทแห่งนี้เขาว่ากันว่าเป็นปราสาทที่งดงามที่สุดของกัมพูชา เพราะสร้างด้วยหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก และฝีมือการแกะสลักลวดลายเป็นภาพนูนต่ำก็ละเอียดประณีตบรรจงกว่าปราสาทอื่นๆ ตามประวัติศาสตร์ เชื่อกันว่าปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระอิศวร ซุ้มประตูทางเข้าปราสาทจะมีภาพแกะสลักเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณลวดลายมีความละเอียดสวยงามมากๆ ส่วนซุ้มประตูทางด้านซ้ายมือจะมีรูปแกะสลักเป็นพระอิศวรทรงโคและมีพระอุมาเทวีประทับอยู่ด้านซ้าย ซุ้มประตูทางด้านขวามือก็จะมีรูปแกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์ ภายในบริเวณปราสาทบันทายศรีนี้ไม่กว้างขวางอะไรมาก ถือว่าเป็นปราสาทเล็กๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเสา กำแพง หรือแม้แต่ขอบประตู จะต้องมีรูปแกะสลักอยู่ทุกตารางนิ้ว สำหรับผู้ที่มีความชื่นชอบในศิลปะแบบนี้ ผมว่าใช้เวลาทั้งวันในการศึกษาหรือเก็บภาพต่างๆ ก็ไม่หมดครับ แต่สำหรับผมเองก็ไม่ค่อยมีความรู้ด้านโบราณสถานสักเท่าไหร่ ได้แต่จำๆ ที่ไกด์เขาอธิบายให้ฟังแล้วเอามาเล่าต่อนี่แหละครับ ถ้าอยากจะศึกษาความเป็นมาโดยละเอียดจริงๆ ก็เชื่อว่าคงสามารถหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ได้ไม่ยากนัก

  

  

          ออกจากปราสาทบันทายศรีก็กลับเข้าตัวเมืองเสียมเรียบอีกครั้ง เพื่อไปยังปราสาทตาพรหม ได้ข่าวแว่วๆ ว่าปราสาทแห่งนี้มีชื่อเรียกใหม่อีกชื่อว่า “ปราสาทแองเจลิน่า โจลี่” เพราะเรียกตามชื่อดาราแสดงนำของภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider เชื่อกันว่าปราสาทตาพรหมนี้ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระมารดาของพระองค์ จุดเด่นของปราสาทแห่งนี้ก็คือ มีต้นสะปงขนาดยักษ์ขึ้นอยู่บนหลังคาของปราสาท แล้วรากของต้นสะปงก็โอบรัดตัวปราสาทเอาไว้หลายต้นทีเดียว ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider คงพอจะจำภาพได้ ภายในบริเวณปราสาทตาพรหมก็กว้างขวางพอสมควร แต่ก็ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ปราสาทบางส่วนก็พังทลายลงมาตามกาลเวลา คงต้องรอคอยการบูรณะอีกมากเช่นกัน เดินลัดเลาะไปตามตัวอาคารภายในปราสาท ก็อดจะแหงนขึ้นไปบนเพดานไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าก้อนหินจะขยับและหล่นลงมาตอนไหน ถือว่าเป็นการผจญภัยแบบ Tomb Raider อ้อ…ขอเตือนสาวๆ ที่ไปชมปราสาทแห่งนี้อย่าเผลอคิดว่าตัวเองเป็นแองเจลีน่าโจอี่ละครับ เดี๋ยวจะพลัดตกลงมา คงจะโดนหามส่งโรงพยาบาลกันวุ่นวายทีเดียว รูปแกะสลักภายในปราสาทแห่งนี้คงเทียบอะไรไม่ได้กับปราสาทบันทายศรี การมาเที่ยวชมปราสาทตาพรหมก็คงจะเป็นการมาดูรากไม้และต้นไม้โอบรัดปราสาทหินมากกว่าจะมาดูงานแกะสลักหินที่วิจิตรบรรจง ถือเป็นความแตกต่างที่ลงตัวครับ เรียกว่าได้ดูหลากหลายรูปแบบ

  

  

          ช่วงเช้าก็หมดไปกับการเที่ยวชมปราสาทไปสองแห่งคือปราสาทบันทายศรีกับปราสาทตาพรหม หลังจากเติมพลังด้วยอาหารกลางวันเรียบร้อย ช่วงบ่ายก็ไปต่อกันที่นครธม (Angkor Thom) ที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่สุดคือกำแพงแต่ละด้านยาว 3 กิโลเมตร ทำให้มีพื้นที่ทั้งหมด 9 ตารางกิโลเมตร จุดเด่นของนครธมก่อนจะถึงประตูทางเข้าก็คือสะพานหินที่ทอดยาวข้ามคูน้ำไปยังซุ้มประตู เพราะสองข้างของสะพานนั้น เราจะเห็นรูปปั้นเทวดาทางฝั่งซ้ายมือของเรา (ถ้าเรากำลังเดินไปยังซุ้มประตูทางเข้า) และทางฝั่งขวามือของเราจะเป็นรูปปั้นอสูรข้างละ 54 กำลังช่วยกันยื้อยุดฉุดพญานาค ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการกวนเกษียรสมุทร ที่ไทยเราเอามาทำเป็นรูปปั้นจำลองไว้ภายในอาคารผู้โดยสารขาออกที่สนามบินสุวรรณภูมินั่นเอง เสียดายที่ปัจจุบันมีการซ่อมแซมโดยการปั้นส่วนหัวของเทวดาและอสูรที่พังเสียหายขึ้นมาใหม่หลายหัว เลยทำให้ดูแล้วขัดๆ ตายังไงชอบกล เพราะจะมีทั้งหัวใหม่และหัวเก่าปะปนกันไป พอเดินข้ามสะพานดังกล่าวแล้วก็จะเห็นซุ้มประตูทางเข้าที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยรูปแกะสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 ด้าน จากซุ้มประตูทางเข้านครธมนี้ไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตรก็จะถึงปราสาทบายน (Bayon) ซึ่งถือเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วยความซับซ้อนทั้งในแง่ของโครงสร้างและความหมาย ลักษณะพิเศษของปราสาทแห่งนี้ก็คือ กลุ่มปราสาทจะประกอบไปด้วย 49 หอ แต่พยายามนับแล้วนับได้แค่ 37 หอเอง แต่ละหอจะมีลักษณะเป็นรูปหน้า 4 หน้าหันไป 4 ทิศ แต่โดยเฉพาะหอใหญ่ตรงกลางจะมีมากกว่า 4 หน้า ทั้งหน้าเล็กหน้าใหญ่ ไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วมีทั้งหมดกี่หน้า ในใจของผมอยากจะเรียกปราสาทนี้ว่า “ปราสาทรวมหน้า” ตามระเบียงจะมีเสาหินและมักจะมีรูปแกะสลักนูนต่ำเป็นรูปนางอัปสรที่แกะได้สวยงาม ถ้าสังเกตสักนิดจะเห็นว่าส่วนยอดของแต่ละหอจะทำเป็นรูปดอกบัว ซึ่งแตกต่างจากยอดปราสาทอื่นๆ ที่เห็นมา ใครที่ร่ำเรียนมาทางด้านโบราณคดีลองเข้ามาช่วยบอกให้กระจ่างด้วยก็ดีครับว่า ทำไมเขาถึงทำเป็นรูปดอกบัว จะสื่อความหมายอะไร เพราะเท่าที่ทราบปราสาทแห่งนี้ผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านความเชื่อทางศาสนามาตั้งแต่คราวนับถือเทพเจ้าฮินดูและพุทธศาสนา

  

  

  

          บรรยากาศใกล้ค่ำแล้ว ก็ได้เวลาไปชมสถานที่สำคัญและเป็นจุดเด่นของการมากัมพูชาครั้งนี้ นั่นก็คือนครวัด (Angkor Wat) ซึ่งก็อยู่ห่างจากนครธมประมาณ 1.5 กิโลเมตรเอง นครวัดเคยได้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และรูปนครวัดก็ยังเป็นรูปที่อยู่บนธงชาติของกัมพูชาอีกด้วย วันนี้ถือว่าเป็นบุญตาที่ได้มาเห็นนครวัดของจริง แต่ก็ทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเป็นช่วงที่กำลังมีการบูรณะ จึงมองเห็นนั่งร้านและตาข่ายสีเขียวโดดเด่นเป็นสง่า แทนที่จะเห็นภาพนครวัดที่สวยงามตามที่อยากเห็น ทั้งสี่ด้านของนครวัดนี้จะล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ ความกว้างของกำแพงแต่ละด้านคือ 1.5 กิโลเมตร จึงทำให้อาณาเขตของนครวัดมีพื้นที่ 2.25 ตารางกิโลเมตร ตัวปราสาทของนครวัดเองดั้งเดิมนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 9 ปราสาท หรือ 9 ยอด แต่ปัจจุบันจะเหลือยอดปราสาทให้เห็นเพียง 5 ยอด เพราะหักไปแล้ว 4 ยอด ถ้าเราถ่ายรูปจากตรงกลางสะพานทางทิศตะวันตก จะมองเห็นยอดปราสาทเพียง 3 ยอดเท่านั้น เพราะยอดที่ 4 แล้ว 5 จะถูกบังอยู่ด้านหลัง ถ้าจะถ่ายรูปให้มองเห็นยอดปราสาททั้ง 5 ของนครวัด จะต้องเดินเยื้องมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก็จะทำให้มองเห็นยอดปราสาททั้ง 5 ได้ชัดเจน แถมด้วยเงาของปราสาทที่มองเห็นในน้ำอีกด้วย ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่จะทำให้ได้ภาพสวยๆ กลับมาเป็นที่ระลึก เมื่อเดินเข้าไปภายในบริเวณระเบียงชั้นนอกของตัวปราสาท ก็จะเห็นรูปแกะสลักเรื่องราวเกี่ยวกับรามายณะ (รามเกียรติ์) ถูกแกะสลักเป็นภาพนูนต่ำบนกำแพงหินด้วยฝีมือที่ประณีต ละเอียด และสวยงามมากๆ (น่าเสียดายที่ผนังวัดบางวัดของเรา อย่างเช่นวัดสุทัศน์ฯ ที่มีภาพวาดลวดลายสวยงามมากๆ แต่ไม่อยู่ได้คงทนเหมือนรูปแกะสลักลงบนหินแบบของนครวัด ภาพวาดของเรานับวันแต่จะหลุดลอกหายไปตามกาลเวลา จนไม่ทราบว่าดั้งเดิมนั้นเป็นภาพวาดเกี่ยวกับอะไร และก็ยังห่วงว่าจะมีการซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้ขนาดไหน) นอกจากรูปแกะสลักเรื่องราวรามเกียรติ์แล้ว ก็ยังมีรูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดคือรูปเทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ แต่น่าเสียดายที่ส่วนนี้ปิดเพื่อทำการบูรณะ เลยไม่ได้เข้าไปชมของจริง แต่ก็ยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกจำนวน 1,635 นางที่อยู่ในอิรยาบทและการแต่งกายที่ไม่ซ้ำแบบกันเลยให้ได้ชมกันเพลินๆ จนลืมเหนื่อย ส่วนใครที่ชอบความท้าทายก็น่าจะปีนบันไดแคบๆ และมีความลาดชันขึ้นไประเบียงด้านบน ก็จะมองเห็นทัศนยภาพที่แตกต่างออกไป

  

  

  

          วันนี้เป็นการเที่ยวชมโบราณสถานแบบเต็มๆ ใครที่ชอบของโบราณคงจะชื่นชอบเรื่องราวที่ผมนำมาเล่าให้อ่านกันบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนใครที่ไม่ค่อยจะมีความรู้หรือสนใจของเก่าสักเท่าไหร่ ก็ถือว่า “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม” นะครับ มาถึงตอนนี้ก็หมดไปอีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของการมาเยือนกัมพูชาแล้ว แต่ก็มีเรื่องมาเล่าให้อ่านอีกนิดหน่อยก่อนจะกลับถึงเมืองไทย

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
Trip To Siem Reap – Day 1
Trip To Siem Reap – END
SlideShow – Trip To Siem Reap 2010

Comments
  1. mukmik says:

    ขอบคุณ สำหรับการแบ่งปัน ที่นี่เป็นอีกที่ ที่อยากไปมากเลยคะ แต่ คงต้องดูสถานการณ์ ก่อน ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน เลยอ่ะ U U

    • spiroonyoi says:

      ด้วยความยินดีครับ เห็นไปถึง “มอหินขาว” แล้ว อีกไม่นานก็น่าจะมีโอกาสข้ามไปฝั่งกัมพูชาได้ครับ

  2. Noky29 says:

    อ่านสนุกจังเลยค่ะ กำลังจะไปวันนี้ มาหาข้อมูล ไม่รู้จะช้าไปไหม

    • spiroonyoi says:

      ขอให้เที่ยวอย่างมีความสุขสนุกสนานนะครับ กลับมามีเรื่องราวอะไรน่าประทับใจก็มาเล่าสู่กันฟัง

Leave a comment